Noun
Clause
อนุประโยค
Clause คือ กลุ่มคำสั่งทั้งประธาน Subject ภาคแสดง Predicat เหมือนประโยค Sentence แต่จะไม่อยู่ตามลำพัง เพราะจะเชื่อมอยู่กับอีกอนุประโยคหนึ่ง
เพื่อเกิดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ ทั้งในแง่ความหมายและไวยากรณ์ อนุประโยค 3 ประเภท หลักๆคือ 1.นามานุประโยคหรืออนุประโยคทำหน้าที่อย่างคำนาม
(Noun Clause) 2.คุณานุประโยคหรืออนุประโยค ทำหน้าที่อย่างคำคุณศัพท์(Adjective
Clause) 3. วิเศษณานุประโยคหรืออนุประโยค
ทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์ (Adverb Clause)
อนุประโยคที่ทำหน้าที่อย่างคำนาม
(Noun Clause) โครงสร้างของอนุประโยคในภาษาอังกฤษกับภาษาไทยไม่ค่อยแตกต่างมากนัก
แต่ปัญหาอยู่ที่เครื่องหมายวรรคตอน เพราะมีแนวโน้มที่จะเขียนอนุประโยคเรียงๆ
กันไปโดยไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน เพราะในภาษาไทยเราไม่ต้องใช้
แต่ในภาษาอังกฤษนั้นสำคัญมาก เพราะประโยคแต่ละประโยค อนุประโยคแต่ละอันจะแยกออกจากกันให้ชัดเจนด้ยเครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกต้องหรือมีคำเชื่อม
มิฉะนั้นจะไม่ได้ความหมายตามต้องการ
Noun Clause แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามหน้าที่ของมันในประโยค
ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากหน้าที่ของคำนามโดยทั่วไป นั้นคือ ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject
Noun Clause) หรือทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา (object Noun Clause)
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ Subject Noun Clause
มักขึ้นต้นด้วยคำว่า that , what หรือ whether
-What he told me makes no sense.
อะไรที่เขาบอกกับฉันมันเชื่อไม่ได้
-That he will become
our boss
is confirmed.
ที่เขาจะเป็นหัวหน้าเราน่ะได้รับการยืนยันแล้วน่ะ
-Whether he will come or not doesn’t concern us.
เขาจะมาหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับเรา
จากตัวอย่างที่ยกมา
จะเห็นว่า Noun Clause มีโครงสร้างที่เกือบสมบูรณ์ เท่าประโยค Sentence ปกติคือมีทั้งภาคประธาน
Subject และภาคแสดง Predicate เพียงแต่ว่าจะมี
Keyword วางอยู่ตอนต้นของ Clause



Object Noun Clause เป็นอนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
อนุประโยคประเภทนี้ขึ้นต้นด้วย Keyword เช่น that
, if , whether , where หรือ what เป็นต้น
1. Object Noun Clause ที่ขึ้นต้นคำว่า “ that ” จะใช้กับคำกริยาบางตัวเท่านั้นยกตัวอย่างเช่น agree
, believe , doubt , feet , forget , hope
, know , realize , recognize , remember , think , understand , เป็นต้น
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
He know that his parents love him.
เขารู้ว่าพ่อแม่รักเขา
I
remember that I put it on the table.
ฉันจำได้ว่าฉันวางมันไว้บนโต๊ะ
ในภาษาไทยนั้นจะใช้คำว่า “ ว่า ” ในประโยคแบบนี้เสมอ
แต่ในภาษาอังกฤษจะแตกต่างกันออกไป สามารถละคำว่า “ that ” โดยไม่ใช้คำนี้เป็น keyword
เพื่อแสดง Object Noun Clause ก็ได้ เช่น
เราจะพูดอย่างนี้ก็ได้
He
know his parents love him.
I
remember I put it on the table.
2. Object Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย
“ Wh - Words ” คือ What , Who , When , Where ,
Why และ how ข้อระวังคือจำไว้เสมอว่า
อนุประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำเหล่านี้เป็นกรรมของประโยค ดังนั้น จึงไม่ใช้ประโยคคำถาม
โครงสร้างจึงเป็นโครงสร้างของประโยคบอกเล่า ไม่ใช้ประโยคคำถาม
ซึ้งแตกต่างจากภาษาไทยที่โครงสร้างเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นประโยคคำถามหรือประโยคบอกเล่า
ตัวอย่าง
ประโยคบอกเล่า
I
don’t Know when he will return the money.


ประโยคคำถาม
When
will he return the money ?


จะเห็นได้ว่า Object Noun Clause ในประโยคบอกเล่านั้น กริยาช่วย will อยู่ด้านหลัง he แต่ในประโยคคำถามกริยาช่วย will
จะอยู่ด้านหน้า he แล้วจะใช้ Noun
Clause ในประโยคคำถามได้
3.
Object Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า
“ if ” หรือ “ whether ” จ้ะในประโยคที่แสดงความไม่แน่ใจ
หรือประโยคที่มีเนื้อความให้เลือกเอาอย่างใดย่างหนึ่ง
Do
you Know if John will come ?
คุณรู้ไหมว่า จอห์นจะมาหรือเปล่า
คุณรู้ไหมว่า
จอห์นจะมาหรือไม่ (มา)
หากใช้คำว่า whether ประโยคจะฟังดูสุภาพและเป็นทางการมากกว่าการใช้ if
เช่น
I would like to
know whether you prefer to take it home ?
ผมอยากทราบว่าคุณต้องการเอากลับไปทานที่บ้านไหม(หรือทานที่นี้) ครับ
แต่ทั้งการใช้
if และ whether ต่างก็ช่วยทำให้ประโยคไม่ห้วนและฟังดูสุภาพขึ้น
ดั้งนั้น หากต้องการคำสุภาพให้เลือกใช้สองคำนี้ในประโยคคำถาม
สรุป Noun
Clause มีความสำคัญมากในภาษาอังกฤษ เพราะประโยคแต่ละประโยค อนุประโยคจะต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจนด้วยเครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกต้องหรือมีคำเชื่อม
แล้วจะได้ความหมายตามที่ต้องการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น