ดูหนังยังไงให้พูดภาษาอังกฤษได้
การดูหนังฝรั่งบ่อยๆทำให้เก่งภาษาอังกฤษจริงหรือ
คนส่วนใหญ่ดูหนังแบบผิดวิธี ดูมาทั้งชีวิตไม่เก่งขึ้นเลย
เป็นเพราะสิ่งที่คนไทยดูส่วนใหญ่ คือดูหนังฝรั่งจริงแต่ดูซับไทยไปด้วย
ทำให้ตั้งใจอ่านซับมากกว่าตั้งใจฟัง สุดท้ายการดูหนังแบบนี้ถ้าเพื่อความบันเทิงไม่มีปัญหา
ไร แต่ถ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษด้วย วิธีนี้ถือว่าด้อยมาก
เพราะสุดท้ายเอาเข้าจริงกลายเป็นว่าเราได้ฟังเขาพูดแบตั้งใจจริงๆน้อนมาก
จนบางครั้งอาจจะไม่ได้ฟังเลยแค่ได้ยินผ่านหูไป
เพราะใจไปโฟกัสกับการอ่านซับทำให่ไม่ได้สนใจสิ่งอื่น
จะฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้นต่อไปต้องดูแบบซับอังกฤษใช่หรือไม่
คำตอบคือดีขึ้นมาหน่อยแต่ก็ง่อยเหมือนกัน เพราะหัวใจของการฝึกภาษาอังกฤษด้วยการดูหนังคือฝึกฟัง
ฝึกโดยดูประกอบกับเรื่องราวตามเนื้อเรื่อง
ถ้าฝึกฟังและดูมากพอจะสามารถเข้าใจหความหมาย word , phrases หรือ
sentences เป็นแบบภาพอัตโนมัติ
โดยไม่ต้องแปลความหมายเป็นภาษาไทยด้วยซ้ำ
ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนรู้คำศัพท์ตามระบบของ Mind English อย่างพอดี
แต่การดูหนังแบบ Sub Eng ก็ไม่ตอบโจทย์
เพราะสุดท้ายภาพที่เกิดขึ้นจริงคือ เรามัวแต่การจดจ้องกับซับ พยายามอ่านและแปลให้ทันเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่องสุดท้ายที่จะได้ฝึกฟัง
กลายเป็นฝึกอ่านไป แต่ก็ยังดีที่ได้ฝึกภาษาอังกฤษเพิ่ม ทำให้อ่านเก่งและไวขึ้น แต่ในแง่การฟัง-พูดก็ยังไม่ตอบโจทย์ สุดท้ายดูหนังจนตาเป็นต้อ
ยังไงสุดท้ายก็ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ดี
การดูหนังเพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้มีอยู่
2 แบบด้วยกันคือ
-
แบบแรก คือ
แบบเบาๆคือดูหนังปกติดูเพื่อความเพลิดเพลินเป็นหลัก แต่ขอฝึกภาษาอังกฤษเป็น
น้ำจิ้มด้วย ถ้าดูหนังแบบนี้เวลาดูฝรั่ง Soundtrack
ซับไทย ( แต่อย่าดูภาคไทย ) ให้ลดความตั้งใจอ่านซับให้ลดลง
เปิดหูเพื่อการได้ยินมากขึ้น ตาของเราแทนที่จะโฟกัสไปที่บรรทัดล่างที่ซับขึ้น
ให้โฟกัสไปที่ปากของตัวละครและพยายามฟังให้มากขึ้น อันไหนไม่ไหวจริงๆ
ไม่รู้เรื่องจริงค่อยเหลือบตาไปมองซับ สำหรับการฝึกแบบนี้จริงๆคือ ชิล
อย่าไปเรียกว่าฝึก เพราะจริงๆแค่ปรับเปลี่ยนวิธีดูหนังซึ่งจะทำให้เราฟัง-พูดกับฝรั่งเก่งขึ้น 10-20%
-
แบบที่สอง คือ สุดยอดเทคนิดการดูหนัง
ที่เป็นการดูหนังเพื่อการฝึกภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง ถ้าทำ
ตามนี้ได้ คุณจะคุยกับฝรั่งได้ดีขึ้น 2
เท่าหรือ 200% เป็นอย่างต่ำ
แน่นอนอันดับแรกเลือกหนังมาหนึ่งเรื่องหรือซีรี่ย์มาหนึ่ง (
เอาเรื่องที่ชอบมากๆรวมถึงเอาหนังสือของอเมริกันเท่านั้น
จะได้ฝึกสำเนียงอเมริกาซึ้งเป็นสำเนียงมาตราฐานไปเลย ) และควรลงทุนซื้อเป็น DVD
เลยไม่ควรดูผ่านเน็ต เพราะ DVD สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นซับไทย
Eng หรือ No Sub ไปเลยก็ได้
สุดยอดเทคเทคนิคการดูหนังมีทั้งหมด
3 ขึ้นด้วยกัน คือ ขั้นที่ 1 ดูแบบปกติดู
1 รอบ เป็นsound track มีซับภาษาไทย
ดูเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่อง แต่ระหว่างดูนอกจากเปิดตา เพื่ออ่านซับแล้ว
แนะนำให้เปิดหูให้มากขึ้น ลองพยายามฟังแล้วจับใจความว่าตัวละครพูดว่าอะไร
แต่อย่าไปซีเรียสมาก ฟังไม่รู้เรื่องก็ช่างมัน เน้นเข้าใจเนื้อเรื่อง
แต่ลองเป็นเรื่องที่ชอบจริงๆ อาจข้ามขั้นตอนนี้ไปก็ได้
ถ้าเรารู้เนื้อหาทั้งหมดแล้ว
ขั้นที่ 2 หลังจากเราเข้าใจเรื่องราวแล้ว ดูขั้นที่ 2 จะเป็นการดูหนังโดยดูแบบ
Sub Eng ครั้งนี้เราจะเน้นการฟัง ฟังแล้วฟัง ดวงตาจับจองที่ปากตัวละคร
แล้วเปิดหูให้กว่าที่สุดใน 3 โลก อย่าจดจ้องที่ซับ
เพราะเราจะฝึกฟัง ไม่ได้ฝึกอ่าน พยายามฟังให้รู้ว่าตัวละครพูดอะไร
ถ้าฟังไม่ออกจริงๆ ค่อยเหลือบดูซับ Eng ด้านล่าง
แต่ถ้าดูไม่ทันก็ช่างมัน อย่าไปซีเรียส ชิลๆ เพลิดเพลินไปกับมัน พอดูจบก็ดูซ้ำแบบ Sub
Eng เหมือนเดิมเลย ตาจับจ้องที่ปาก หูผึ่งตั้งใจฟัง
ตรงไหนที่รอบก่อนฟังไม่ทัน ไม่รู้พูดว่าอะไร ก็ผึ่งหูมากขึ้นหน่อย
ถ้าไม่ไหวจริงๆก็เหลือบมาดูซับได้ บางทีอาจจะต้องดูซ้ำ 5-10
รอบขึ้นไป
สิ่งห้ามก็คือ ห้ามเปิด Dictionary ห้ามแปล
ศัพท์ไหนที่ไม่รู้ ไม่ต้องแปล ปล่อยมันไป ถ้าคุณฟังบ่อยมากพอจนฟังออกทั้งหมด
ศัพท์ยากที่ไม่รู้คำแปล
แต่คุณจะรู้ความหมายของมันเพราะคุณเข้าใจเนื้อเรื่องจริงๆแล้ว
คุณพอจะเดาได้แบบอัตโนมัติว่าคำนี้ ว่าจะหมายถึงอะไร ประมาณไหน
แต่ถ้าคุณอยากเรียนรู้คำศัพท์ เพิ่มศัพท์เข้าคลังสมองจริงๆคุณต้องใช้วิธีการเรียนรู้คำศัทพ์แบบเป็นระบบ
ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่2 ต้องฟัง ฟัง แล้วก็ต้องฟังดูหนังเรื่องเดิมๆ
ก็รอบก็ตามจนคุณฟังมันรู้เรื่องจนฟังรู้เรื่องทั้งหมด และมีกฎสองข้อให้ยึดมั่น
ข้อแรกรายละเอียดตามที่กล่าวมาข้อสอง คำเดียวสั้นๆ คือ ชิล ฟังไม่ออกอย่าไปหัวเสีย
ฟังไม่ออก รอบหน้าตั้งใจฟังใหม่ดูเอาสนุก เอามันส์กับหนังที่ตัวเองรัก
ขั้นที่3 ที่เราดูหนังแบบไร้ซับ รอบแรกๆ ( 1- 2รอบ )
เราจะฟังแบบเป็นธรรมชาติและดูหนังเหมือนเราดูหนังไทยแบบปกติ เราจะรู้สึกสนุกกับมัน
ถ้าเราฟังออกฟังไม่ทันหมด ว่าใครพูดอะไรยังไงบ้าง ดูชิลๆแบบพักผ่อน
เน้นเชื่อมโยงความหมายกับคำศัพท์ หรือบางคำศัพท์หรือบาง idiom
ที่เราไม่รู้ก็ซึมซับมันและพยายามคาดเดาความหมายตามบริบทของหนังโดยไม่ต้องเปิด dictionary
ในรอบหลังๆจินตนาการว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือนางเอกของเรื่อง
พอตัวเอกพูดจบท่อนนึงเรากด pause และฝึกพูดตามให้พยายามเลียนเสียงให้แป๊ะมากที่สุด
ทำแบบนี้ทั้งเรื่อง พอเริ่มคล่อง รอบหลังให้ใส่ฟีลลิ่งไปด้วย
ใส่ความหมายให้มันลงไปด้วย ให้นึกว่าตัวเองเป็นตัวเอกจริงๆ การดูหนังในขั้นตอนที่3 นี้จะ สิ้นสุดลง เมื่อเราเลียนเสียงได้คล่องได้เหมือนตัวละคร ที่เราเลียนแบบอย่างครบถ้วน
ทำได้ตามนี้
แค่หนังเพียงเรื่องเดียว อาจจะใช้เวลาเยอะหน่อย กว่าจะดูจบทุกขั้นตอน สมมุติ 3 เดือน รับประกันได้เลยว่าผ่านไป3 เดือนนี้ไปแล้ว
คุณจะรู้สึกว่าตัวเองฟัง-พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่า 10 ปี ที่เรียนภาษาอังกฤษมาแน่นอน ฟังดูเหมือนนาน แต่มันเฉพาะเรื่องแรกๆ
เรื่องต่อไปจะใช้เวลาลดลงอาจจะ3เดือน เหลือ 1-2เดือน แล้วค่อยมาลงเรื่องต่อๆไป
ผลลัพธ์สุดท้ายคุณจะดูหนังฝรั่งแบบไม่ต้องมีซับแล้ว
ฟังออกและรู้เรื่องทั้งหมดวันนั้นแหล่ะคือวันที่คุณจะคุยกับฝรั่งได้โครตคล่อง
อีกอย่างพยายามทำตามขั้นตอนของเราอย่าข้ามขั้น
ใครอยากใช้วิธีนี้
อย่าลืมกฎเหล็ก เล็กๆน้อยๆนี้
ข้อ1 “ห้ามแปล” คือ ห้ามเปิด dictionary
ห้ามแปลเป็นภาษาไทย เจอความหมายไหนไม่รู้พยายมเดาความหมายเรา
ข้อ2 “ชิล” อย่าไปซีเรียส ฟังไม่ทันก็รอฟังรอบใหม่
พูดแรกๆยังเลียนเสียงไม่เหมือน ก็ไม่เป็นไร รอบหน้าเอาใหม่
ข้อ3 “ต่อเนื่อง” ไม่ใช่วันนี้ฝึกหายไป
2 สัปดาห์มาฝึกต่อ ไม่ได้ ถ้าจะเอาจริงต้องทำทุกวัน
เว้นได้วันหรือสองวันถือว่าเยอะแล้ว
จริงๆแล้วไม่อยากให้เรียกว่าการฝึก
แต่อยากให้เป็นการเปลี่ยนวิธีการดูหนังมากกว่า เพราะหนังที่เลือกมาคือหนังที่รักพร้อมจะดูเป็นสิบรอบอยู่แล้ว
เปลี่ยนความสนุกเป็นความรุกคืบเปลี่ยนการดูหนังชิลๆมาให้ชีวิตวิ่งปิ๋วมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น