วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Tense

Tense
                ในเรื่องของ กาล (Tense)  ซึ่งเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษและเป็นปัญหาชวนปวดหัวของคนไทย  เพราะภาษาไทยไม่ต้องกังวลกับการผันกริยาตามกาลของประโยค  เมื่อจะใช้ภาษาอังกฤษ  คำถามแรกที่จะต้องคิดคือ  เรื่องของกาล  จะเรียกทับศัพท์ว่า  Tense  เพราะมีความสำคัญต่อความหมายในประโยคมาก  พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มันเป็นส่วนหนึ่งของความหมายในประโยคนั้นเอง
                การผันคำกริยาตาม Tense นั้นจะเกี่ยวพันไปถึงพจน์ของประธานด้วย  เพราะคำกริยาจะผันหรือเปลี่ยนแปลงตามประธานของประโยคหรือคำของกริยานั้นๆ ด้วย ซึ่งเราจะค่อยดูกันไปทีล่ะ Tense ภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย Tense หลักๆ 3 ชนิด คือ
1.             Present Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2.             Future Tense  ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต
3.             Past Tense   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
และ Tense ทั้ง 3 ชนิด ยังแบ่งย่อยเป็นชนิดต่างๆได้อีก Tense ละ 4 ชนิดคือ
1.            Present Tense
1.1      Present Simple Tense
1.2      Present Continuous Tense (Present Progressive)
1.3      Present Perfect Tense
1.4      Present Perfect Continuous Tense  (Present Perfect Progressive)
2.           Future Tense 
2.1      Future Simple Tense
2.2      Future Continuous Tense (Present Progressive)
2.3      Future Perfect Tense
2.4      Future Perfect Continuous Tense  (Present Perfect Progressive)
3.           Past Tense  
3.1      Past Simple Tense
3.2      Past Continuous Tense (Present Progressive)
3.3      Past Perfect Tense
3.4      Past Perfect Continuous Tense  (Present Perfect Progressive)
รวมทั้งหมดเป็น 12  Tense แต่ในความจริงแล้ว ใช้กันอยู่เพียงไม่กี่ Tense เท่านั้น ที่เหลือก็จะใช้ในกรณีเฉพาะเจาะจง บางกรณีเท่านั้น บาง Tense ก็ไม่ได้แทบใช้เลยก็มี  เมื่อได้ทราบความของ Tense หลักๆ ทั้ง 3 Tense แล้ว ตอนนี้ก็ลองมาดูความหมายหลายชนิด ย่อย Tense หลัก เมื่อทราบความหมายเราก็พอจะเดาหน้าที่ของมันได้
คำว่า “ Simple ” แปลว่า ปกติธรรมดา  เพราะฉะนั้น  “ Present Simple ”  ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปกติธรรมดา ในปัจจุบัน “ Past Simple” ใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ปกติธรรมดา ในอดีตและในทำนองเดียวกัน “Future Simple ” ก็ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น      ปกติธรรมดา ในอนาคต
คำว่า “ Continuous ” หรือ “ Progressive ” แปลว่า กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด ดังนั้น “ Present Continuous” ย่อมต้องใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุดในทำนองเดียวกัน    “ Past Continuous” ก็ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด ณ ช่วงเวลานั้นๆในอดีต “Future Continuous” ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะจะใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด ณ ช่วงเวลานั้นๆในอดีต
คำว่า “Perfect” แปลว่า เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ดังนั้น “ Present Perfect” จะเป็น Tense ที่ใช้กับเหตุการณ์กับปัจจุบันที่ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ไปแล้ว ในส่วน “Past Perfect” ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ไปแล้ว และ “Future Perfect” จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ณ ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า “Perfect Continuous” แปลว่า เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ดังนั้น “Present   Perfect Continuous” ก็จะใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ “Past Perfect Continuous” ที่จะใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ณ ช่วงเวลานั้นๆในอดีต ในทำนองเดียวกัน “Future Perfect Continuous ” ก็จะใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ณ เวลานั้นๆในอนาคต


โครงสร้างของกริยาวลีตาม Tense ประโยคต่างๆ
Present Simple Tense





ข้อสังเกตคือ มีสองเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ระหว่างที่เหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินมาเรื่อยๆ –It was raining- อีกเหตุการณ์หนึ่งก็เกิดขึ้น-I woke up- และทั้งสองเหตุการณ์นี้ล้วนเกิดในอดีต-last night-

ข้อสังเกตคือ มีสองเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ฉันเห็นคุณ –I saw you- ระหว่างที่คุณ กำลังไปที่ไหนสักทีหนึ่ง –you were going…- ทั้งสองเหตุการณ์นี้ล้วนเกิดในอดีต –yesterday-
                **เรามักจะใช้ Past Continuous เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่อีกเหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่**

ข้อสังเกตคือ ประโยคกล่าวถึงสองเหตุการณ์ เมื่อเหตุการณ์หนึ่งจบลงแล้วthey  had  had dinner.-
อีกเหตุการณ์หนึ่งจึงเกิดขึ้น –They went to the movie- และทั้งสองเหตุการณ์ล้วนเกิดในอดีต
                **เรามักจะใช้ Past Perfect เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ ที่เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นจากอีกเหตุการณ์หนึ่งจบหรือเสร็จสิ้นไปแล้ว

                ความหมายคือ เธอได้เริ่มท่องกลอนและได้ท่องกร่อนต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ จนกระทั้งเป็นลมเมื่อท่องมาได้สามชั่วโมง

 ความหมายคือ ฝนเริ่มตก –เมื่อสี่วันก่อน- และได้ตกต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆกว่าทางเทศบาลจะเอากระสอบทรายมาแจก –ก็เข้าวันที่สี่ที่ฝนตกแล้ว-


ข้อสังเกต เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปเรื่อยๆในขณะใดขณะหนึ่งของช่วงเวลาในอนาคต

ข้อสังเกต เป็นเหตุการณ์ที่จะเสร็จ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต

ความหมายคือ กว่าคุณจะวิ่งตามผมทัน ผมก็กำลังวิ่งไปไกลเกินไมล์หนึ่งแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น