กลยุทธ์ในการเรียนภาษา
ในยุคที่ภาษาอังกฤษกำลังเฟื่องฟู
มีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระบบที่หลากหลายลักษณะยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เกิดมีโรงเรียนสองภาษาและโรงเรียนสามภาษาที่มีภาษาอังกฤษเป็นตัวร่วมอยู่ด้วย มีโปรแกรมอินเตอร์ ที่ใช่ภาษาอังกฤษล้วนในการเรียน การสอน
การเรียนภาษาแตกต่างจากการเรียนวิชาอื่นๆ เป็นใหญ่ตรงที่ว่าต้องมีสองด้านควบคู่กัน
คือ ความรู้และทักษะ
ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ภาษาอังกฤษพอที่จะฟัง
พูด อ่าน เขียน และแปลในขั้นที่ใช้การได้อย่างแท้จริง
เมื่อหยิบยกปัญหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์
คนส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปที่เหตุปัจจัยภายนอกผู้เรียน กล่าวคือ
โทษครูผู้สอนว่าขาดแคลนความรู้ ความชำนาญในการใช้ภาษาและขาดวิธีสอนที่ได้ผล
โทษตำราแบบว่าขาดคุณภาพ
โทษสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอนว่าจัดหลักสูตรโดยให้สัดส่วนแก่ภาษาอังกฤษน้อยเกินไป
โทษนโยบายของรัฐ
ว่าขาดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและมีประสิทธิผล
โทษสภาพแวดล้อมทางสังคมว่าไม่เอื้อต่อการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
ประเด็นปัญหาต่างๆดังที่กล่าวมานี้
เป็นปัญหาหมักหมมมานานและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆจนประหนึ่งว่าเหลือวิสัยที่ใครจะแก้ไขอะไรได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องผู้สอน สื่อการเรียนการสอนและการบริหารจัดการ
ประเด็นนี้ต้อง ย้อนกลับไปพิจารณาดูเหตุปัจจัยเฉพาะกรณี ปัจจัยภายนอกก็สำคัญเช่นกัน เช่น
มีโอกาสใช้ในสถานการณ์จริงเพราะ คบหาคลุกคลีกับเจ้าของภาษามากพอ ได้ศึกษาจากครูอาจารย์ที่มีความรู้ความชำนาญตลอดจนได้เรียนรู้จากสื่อรอบตัวประเภทที่มีคุณภาพมาตรฐาน ส่วนปัจจัยภายในก็คือเป็นผู้มีความถนัดในการเรียนภาษา มีเจตคติที่ดีต่อภาษาที่เรียน มี แรงจูงใจใฝ่เรียนรู้สูงประกอบกับมีความทุ่มเทมากพอ ผู้เรียนจำเป็นต้องพัฒนาปัจจัยภายในการเรียนภาษาอังกฤษจนสัมฤทธิ์ผลนั้นจำต้องดำเนินไปอย่างเป็นระบบหรือมีระเบียบแบบแผนโดยอาจมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
1.กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
2.รู้จัก จัดเตรียมและแสวงหาแหล่งเรียนรู้
3.พัฒนากลยุทธ์การเรียน
4.ลงมือปฏิบัติ
เริ่มตั้งแต่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
ก็สมควรกำหนดให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นกว่าจะสามารถทำอะไรได้แค่ไหน (ฟัง พูด
อ่าน เขียน แปล ) ภายในกรอบเวลาได้ เช่น
·
ภายใน 1
ปี สามารถชมข่าวภาษาอังกฤษทางโทรทัศน์ได้เข้าใจจนสามารถสรุปสาระสำคัญของเนื้อ ข่าวได้
·
ภายใน 6 เดือน สามารถสนทนาขั้นพื้นฐานกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ เช่น (สอบฐานความ ต้องการ ให้คำแนะนำ
บอกทาง )
·
ภายใน 3 เดือน
สามารถอ่านข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยาสารรายสัปดาห์ได้เข้าใจเป็นส่วนใหญ่
·
ภายใน 1
เดือนสามารถเขียน e-mail โต้กับชาวต่างชาติได้โดยไม่ขลุกขลัก
·
เรียนรู้ศัพท์ใหม่ (
วิธีออกเสียง ความหมาย วิธี
ใช้คำในประโยค ) วันละ 5-10 คำ
ต้องให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงด้วย โดยคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความถนัดและการจัดสรรเวลา (ภาระการเรียน
ภาระการงาน และกิจกรรมอื่นๆ )
เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้แล้ว
ก็ต้องรู้จัก
จัดเตรียมและเสาะหาสื่อและแหล่งความรู้เอื้อต่อการฝึกทักษะด้วยตัวเองเช่น
·
โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
เพื่อการรับชมข่าวและรายการจากต่างประเทศ
·
วิทยุคลื่นสั้นเพื่อการรับฟังข่าวสารจากต่างประเทศโดยตรง
·
แหล่งท่องเที่ยว
เพื่อหาโอกาสที่จะพัฒนากับนักท่องเที่ยว
·
หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยาสารรายสัปดาห์เพื่ออ่านข่าวและบทความ
·
ห้องสมุด
เพื่อการอ่านและกิจกรรมการเรียนอื่นๆ
·
ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยและร้านหนังสือต่างประเทศ
เมื่อรู้จักจัดเตรียมและเสาะหาสื่อแหล่งเรียนรู้พร้อมแล้วขั้นต่อไปจำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบทั้งสิ้น
10 ประการ ได้แก่ ศึกษา – ฝึกฝน –
สังเกต – จดจำ –
เลียนแบบ – ดัดแปลง – วิเคราะห์ – ค้นคว้า – ใช้งาน – ปรับปรุง
ซึ่งอาจอธิบายความได้ดังนี้
1. ศึกษา
การเรียนภาษาจะต้องเริ่มจากความรู้เกี่ยวกับตัวภาษาโดยตรงก่อนเสมอ
ความรู้เปรียบเสมือนเสาหลักมีอยู่ 2 ด้าน คือ
ศัพท์กับไวยากรณ์ นอกจากตัวเนื้อภาษาแล้วยังมีความรู้อีก 2 ด้านใหญ่ ที่ไม่ควรละเลยคือ
·
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา
เช่น ภาษาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร
·
ความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของชนชาติเจ้าของภาษา
(สังคม วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปะ วรรณคดี )
ในการเรียนภาษาจึงไม่ต้องเรียนเนื้อหา
อะไรนอกเหนือไปจากการฝึกทักษะ
ทำให้ไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจว่าจะต้องหาความรู้เรื่องศัพท์และไวยากรณ์
อันถือได้ว่าเป็นส่วนตัวเนื้อหา หลักของภาษาโดยตรง
2. ฝึกฝน
การเรียนภาษาแตกต่างจากเรียนวิชาอื่นๆเป็นวิชาอื่นๆเป็นส่วนใหญ่ ตรงที่ว่าต้องมีสองด้านควบคู่กัน
การเรียนแต่ภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกปฏิบัติ
ย่อมไม่อาจทำให้บรรลุเป้าหมายคือสามารถใช้ภาษา การฝึกฝนภาษาให้ได้ผล
จำต้องผ่านอินทรีย์หลายทางควบคู่กัน คือ ตา หู ปาก มือ
·
ตา – ดู ครอบคลุมทั้งการอ่าน ตัวหนังสือและสีหน้าท่าทางในระหว่างการสนทนา
·
หู – ฟัง ครอบคลุมการฟังทั้ง เสียงและน้ำเสียงของผู้พูด
·
ปาก – พูด หมายถึงการออกเสียง
ยังครอบคลุมไปถึงการพูดในที่ประชุมการนำเสนอด้วยวาจาและการบรรยาย
·
มือ – เขียน
ได้แก่การเขียนและหมายรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ทดแทนการเขียนด้วยมือ เช่น
เครื่องพิมพ์ดีด เครื่องคอมพิวเตอร์
ผู้เรียนต้องใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องในการเขียน
ทั้งสี่ทางนี้สอดคล้องกับทักษะการใช้ภาษาสี่ด้าน
นอกจากนี้ยังต้องมีแรงเสริมอีก 2 ทาง คือ
·
หัว –
คิด หมายถึง สมรรถนะทางด้านปัญญา ในการคิดพิจารณา – วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่กำลังศึกษา
·
ใจ –
รัก หมายถึง สมรรถนะทางด้านจิต คือใจรักในสิ่งที่อ่านก่อน
จากนั้นก็มีความหมั่นเพียรในการศึกษา
3. สังเกต
ภาษาอังกฤษมีเนื้อหาอยู่มาก
บางเรื่องบางด้านก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ซึ่งผู้ที่ไม่ค้นจะรู้สึกว่าเข้ายาก
บางเรื่องก็เป็นลักษณะของภาษาเอง
ไม่อาจใช้เหตุผลคาดคะเนหรือใช้ตรรกะหยั่งรู้เอาเองได้
·
ไวยากรณ์ เช่น
โครงสร้างของวลีและประโยคการเรียงลำดับคำ,การผันรูปกริยาตาม tense
·
ศัพท์ เช่น ชนิดของคำ คำที่มีความหมาย,คำที่มักปรากฏร่วมกัน (collocation)
·
ภาษาสำเร็จรูป ซึ่งมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างศัพท์กับไวยากรณ์
ได้แก่ โวหาร (expression) สำนวน (idiom)
สุภาษิต (proverb)
4. จดจำ
ในยุคที่การปฏิรูปการศึกษากำลังฟื้นฟูนี้
มีนักศึกษาส่วนหนึ่งมักจะพูดตำหนิวิธีการเลียนแบบท่องจำในลักษณะที่สุดโต้ง
จนทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดเลยเถิดไปว่า การท่องจำเป็นวิธีเรียนที่เชย ล้าสมัย
ไม่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ การท่องจำจึงไม่จำเป็นหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
ผลเสียจากการที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันละทิ้งการท่องจำ มีตัวอย่างที่เห็นชัดเรื่องหนึ่งคือไม่สามารถใช้รูปคำกริยาที่ผันรูปผิดปรกติได้ถูกต้อง
(เช่น give – gave – given ) หรือเกิดความสับสนเป็นประจำ
(เช่น lie – lay - lain สับสนกับ lay – laid – laid และ lie – lied – lied )
5. เลียนแบบ
แต่ละภาษาจะมีสัญนิยม ( convention)
ของตนเองอันเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างคนที่ใช้ภาษาเดียวกัน
มิฉะนั้นจะสื่อสารกันไม่ได้เลย คนที่เป็นสมาชิกใหม่ของประชาคมที่ใช้ในภาษานั้น
(เช่น เด็กเกิดใหม่เริ่มเรียนภาษาของแม่หรือนักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาต่างประเทศ )
ก็ต้องยอมรับศึกษาและใช้ตามสัญนิยมนั้น
ด้วยเหตุนี้การเรียนภาษาจึงต้องอาศัยหลักการเลียนแบบตลอดทุกขั้นตอนหรือตลอดชีวิตก็คงได้
6. ดัดแปลง
เมื่อเลียนแบบแล้ว ต้องรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆการดัดแปลงย่อมต้องอาศัยความรู้เรื่องไวยากรณ์ประกอบกับความรู้เรื่องศัพท์และสำนวนโวหารเป็นพื้นฐานสำคัญ
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเรายังอ่อนแอเรื่องการค้นคว้าอยู่มาก
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ครูผู้สอนภาอังกฤษบางส่วนนอกจากไม่แนะนำส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้พจนานุกรมแล้ว
บางครั้งยังไม่สนับสนุนให้ใช้และถึงกับห้ามใช้ก็มี
7. วิเคราะห์
การเรียนภาษาในระดับเบื้องต้นจำต้องอาศัยการเลียนแบบอยู่มาก
การวิเคราะห์มีได้ใน 3 ระดับใหญ่ๆ คือ
·
ระดับศัพท์ คือ วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของคำศัพท์และสำสวน
·
ระดับไวยากรณ์ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของวลีและประโยค
·
ระดับถ้อยความ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายโดยรวม ที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการสื่อ
8. ค้นคว้า
ความรู้ที่มีอยู่ในตำรา แบบเรียนหรือสื่อการเรียนอื่นๆยังมีไม่เพียงพอ
ผู้เรียนจำต้องค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเรายังอ่อนเรื่องการค้นคว้าอยู่มาก
ในสภาพความเป็นจริงของการใช้ภาษาการตั้งเป้าหมายว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้ภาษาต้องรู้ศัพท์หมดทุกคำ
หรือต้องใช้ภาษาโดยไม่ผิดเลยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
เพราะเป็นไปไม่ได้และก็ไม่จำเป็นด้วย แต่การพร่ำสอนให้ผู้เรียนอาศัยการเดาไม่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติมทำให้ความรู้ต่างๆที่เรียนมานั้นพร่ามัว
ง่อนแง่น จึงทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ภาษา
9. ใช้งาน
การมีโอกาสไปใช้ในชีวิตในต่างประเทศทำให้ได้ใช้ภาษาในสภาพจริงได้อย่างเต็มที่
ได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา เป็นปัจจัยที่เสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนภาษาได้อย่างดียิ่งและทำให้ได้ตระหนักถึงจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง
เนื่องจากได้เรียนรู้ของจริง ซึ่งบางครั้งอาจแตกต่างอย่างมากจากประสบการณ์ในสถานการณ์จำลองภายในชั้นเรียนภาษาของบ้านเราเอง
อันเป็นการเปิดโอกาส
10. ปรับปรุง
ในการฝึกฝนการใช้ภาษา
ผู้เรียนที่ดีต้องช่างสังเกตและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดบกพร่องเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขด้วยการศึกษา
ฝึกฝน วิเคราะห์ ค้นคว้า
และหาโอกาสไปทดสอบใหม่เพื่อจัดความก้าวหน้าหรือพัฒนาการในการใช้ภาษาในด้านนั้นๆ
ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเป็นสิ่งที่ต้องบ่มเพาะสะสมเป็นเวลานานมิใช่จะได้มาโดยเพียงผ่านการเรียนกวดวิชาหรือฝึกอบรมไม่กี่สิบชั่วโมง ดังที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น