วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีเขียนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น

วิธีเขียนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น

            จากการสำรวจปัญหาที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษพบว่าทักษะการเขียนเป็นทักษะที่เด็กไม่มีใจมากที่สุด คือ การเขียน เพราะการฟังสามารถอาศัยสีหน้าท่าทางคนพูดเพื่อประกอบความเข้าใจได้  การพูดยังพอใช้ภาษามือช่วยได้  ส่วนการอ่านก็ใช้เวลานานแค่ไหนก็ทำความเข้าใจไปที่ละนิด  แต่การเขียนกลับเป็นเรื่องที่ทางการที่สุด  ที่จะต้องกังวลทั้งเรื่องไวยากรณ์  คำศัพท์  และหลักการเขียนให้ดีขึ้นมีดังนี้
                คิดเป็นภาษาอังกฤษ  ห้ามคิดเป็นภาษาไทยแล้วแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษ เพราะรายละเอียดหลายๆอย่างอาจจะตกหลนระหว่างการแปลได้  วิธีนี้จะต้องอาศัยความเคยถึงจะทำให้คิดเป็นภาษาอังกฤษได้  แต่ทุกคนสามารถทำด้วยการฝึกฝนทักษะภาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการฟังหรือการอ่านก็ได้  เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการใช้ภาษา
                การเขียนร่างหลายๆครั้ง หรือเขียนแล้วทบทวนแก้ไขหลายรอบ อย่าเขียนครั้งเดียวส่งร่างเสร็จก็ตรวจทานใหม่  ถ้าเป็นการบ้านที่อีกนานกว่าจะส่งให้รีบทำแต่เนิ่นๆ ตรวจรอบแรกแล้วทิ้งไว้สัก 3 วันแล้วมาอ่านอีกที  แก้ไขแล้วก็เว้นไว้อีก 5 วัน มาแก้อีกรอบ  ควรเว้นจังหวะระหว่างการแก้ไขในแต่ละครั้งด้วย ครั้งหลังๆมาอ่านจะรู้สึกว่า วันนั้นฉันเขียนอะไรลงไปเนี๊ย
                จับอะไรรวมกันได้ก็รวมเข้าด้วยกัน  ถ้ารู้สึกว่าทำไมงานเขียนของตัวเองดูฟื้นๆมาก มีแต่  I  am.  He  is. There  are.  เต็มไปหมด เช่น He  has  beautiful  eyes.  There  are  green.  He  is  looking  right  at  me. ซึ้งสามารถฝึกการแปลงรูปประโยคได้จากการอ่านและฟังเยอะ  ดุหนังฟังเพลงแบบจัดเต็ม
                ลองอ่านออกเสียงเผื่อสะดุด  การอ่านออกเสียงทำให้ได้ใช้ประสาทสัมผัสเพิ่มมากขึ้นซึ่งประสาทสัมผัสที่เพิ่มขึ้นก็เหมือนกับตัวช่วยตรวจสอบมากข้น  บางทีพูดไปพูดมาอาจจะรู้สึกแปลกๆขึ้นมากับบางประโยค
                ขยันพิมพ์ภาษาอังกฤษในสเตตัส   ใครจะว่าก็ช่างแต่เราทำเพื่อพัฒนาทักษะตัวเองเวลาอยากเม้าธ์หรือวิจารณ์หนังที่เพิ่งไปดูมา  ก็ลองเปลี่ยนมาอัพสเตตัสเป็นภาษาอังกฤษแทนพยายามแสดงเหตุผลไปเยอะๆ พระเอกหล่อไง  ตัวโกงดีเลวยังไง  ดนตรีประกอบเพราะไหม  เขียนไปตามใจชอบเลย  เพื่อนในเฟซบุ๊คที่เก่งภาษาอังกฤษผ่านมาเห็นก็จะช่วยแนะนำแก้ไข  และแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ จะทำให้ไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเวลาต้องเขียนงาน
                พิมพ์  Google เมื่อประโยคที่ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกไหม  วางคำขยายถูกตำแหน่งหรือยังให้ลองพิมพ์ประโยคนั้นลง  Google ผลลัพธ์ที่ขึ้นมาช่วยยืนยันได้ว่ามีคนเขียนแบบนี้หรือไม่  แต่ต้องอ่านทีละผลลัพธ์ดีๆ  ว่าใช้ในสถานการณ์เดียวกับเราหรือเปล่า
                สรุปทักษะการเขียนจะต้องคิดเป็นภาษาอังกฤษ เขียนร่างหลายๆครั้งเพื่อทบทวน ฝึกแปลงประโยค ขยันพิมพ์ภาษาอังกฤษในสเตตัส และฝึกพิมพ์ใน  Google เพื่อแก้ไขและพัฒนาวิธีการเขียน แต่จะต้องฝึกฝนทำอยู่บ่อยๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นไป


คุณธรรม จริยธรรมกับการศึกษา

คุณธรรม จริยธรรมกับการศึกษา

                ในภาวะที่โลกกำลังไหวไปกับตามกระแสทางด้านวัตถุอย่างไม่หยุดนิ่ง ส่งผลให้คนเกือบทุกสังคมตกอย่าภายใต้การครอบงำของวัตถุนิยม ส่งผลให้มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆโดยเฉพาะปัญหาความเสื่อมทรามด้านศีลธรรม บางครั้งผู้คนในสังคมก็ได้รวมตัวกันออกมาเรียกร้องจริยธรรมกับผู้บริหารประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวได้สะท้อนถึงจุดวิกฤตบางอย่างที่เกิดขึ้นจริงในสังคม
                ปัจจุบันทุกสถานบันการศึกษาได้ให้ความสำคัญกับการสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมเข้าในกิจกรรมการเรียนการสอนทุกรายวิชา เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ของผู้เรียนควบคู่ไปกับคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าและความสำเร็จให้แก่ชีวิตของผู้เรียน อีกทั้งยังเป็นการสร้างคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ให้แก่สังคมไทยด้วย
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียน
1.บิดา มารดา บ้าน หรือสถาบันครอบครัวเป็นแหล่งแรกที่ทำหน้าที่ปลูกฝังและหล่อหลอมตลอดจนถ่ายทอดลักษณะอันทรงคุณธรรมและจริยธรรมแก่สมาชิกในครอบครัวและทำหน้าที่ต่อไป แม้เด็กจะเข้าไปรับการศึกษาอบรมโรงเรียนในระดับต่างๆอยู่แล้วก็ตาม
2.ญาติผู้ใหญ่และสมาชิกอื่นๆในครอบครัวเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการปลูกฝังและหล่อหลอมคุณธรรมจริยธรรมให้แก่เด็กในครอบครัวเช่นเดียวกัน โดยปกติเด็กจะเรียนรู้เจตคติเชิงจริยธรรมจากผู้ใหญ่ด้วยการสังเกตและเลียนแบบมากกว่าที่จะได้จากการฟังคำสั่งของผู้ใหญ่โดยตรง หากผู้ใหญ่เป็นผู้มีลักษณะเด่นเป็นที่ยกย่องบูชาแก่เด็กมาก เด็กจะมีแนวโน้มเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
3.เพื่อนๆของเด็กเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดค่านิยมทางคุณธรรมและจริยธรรมบางอย่างให้เด็กได้รับรู้ รับไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดพฤติกรรมคล้อยตามเพื่อนๆได้
4.พระสงฆ์หรือผู้นำทางคุณธรรมจริยธรรมในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือท้องถิ่นที่เด็กหรือนักเรียนอยู่นั้น เป็นที่เคารพนับถือของผู้ใหญ่ในสังคม การปฏิบัติชอบของพระสงฆ์มีหรือผู้นำทางศาสนาในท้องถิ่นนั้น จะมีอิทธิต่อการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม แก่เด็กหรือนักศึกษาในท้องถิ่นด้วย
5.โรงเรียนหรือสถานศึกษาซึ่งรวบรวมถึงการจัดสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา การบริหารปละการใช้บริการต่างๆ เป็นตัวอย่างอันดีงามของครูอาจารย์ละการเรียนการสอนวิชาต่างๆตามหลักสูตร โดยเฉพาะกิจกรรมต่างๆในสถานศึกษา
                สรุป คุณธรรมคือสภาพความดีงามภายในตัวบุคคล ทำให้เกิดความชื่นชมยินดีมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุขขั้นสมบูรณ์ และจริยธรรมคือ สิ่งที่ควรประพฤติเพื่อให้เกิดความดีและความถูกต้องแก่สังคม เพื่ออยู่กันได้อย่างร่มเย็น

Adjective Clause
            คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่ที่ขยายคำนามหรือนามวลี ไม่ว่าคำนามนั้นจะทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เป็นกรรมของประโยค เป็นกรรมของกริยา หรือเป็นกรรมของบุพบทก็ตาม
อนุประโยคชนิดนี้จะขึ้นต้นด้วย that , which , who , where , หรือ whose เป็นต้น
อนุประโยคชนิดนี้ เรียกอีกอย่าง Relative Clause

                ใช้ขยายประธานของประโยค
-The  man  who  live on the third floor  is  a  door.
ผู้ชายที่อาศัยอยู่บนชั้นสามเป็นหมอ
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างของประโยคในภาษาอังกฤษและภาษาไทยใกล้เคียงกันมาก keyword ที่ใช้นำหน้า Adjective Clause คือคำอย่างเช่น Who , When หรือ Which ส่วนในภาษาไทยนั้น keyword จะเป็นคำว่า ซึ่ง หรือ  สู้ แทนคำว่า ที่ ก็ได้ แต่ในภาษาอังกฤษจะใช้คำเฉพาะว่า Whoทั้งนี้เพราะคำนามหรือนามวลีที่อนุประโยคที่ทำหน้าที่ขยายเป็น คน และยังทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคหรือประธานของกริยา isด้วย
                -The  book  that you bought  is  very  expensive.
                หนังสือ (เล่ม) ที่คุณซื้อ (ราคา) แพงมาก
ในประโยคนี้ประธานคือคำว่า The  book  ซึ้งเป็นสิ่งของ ดั้งนั้น อนุประโยคที่มาขยายจึงมี keyword  เป็นคำว่าthat
            -The  hotel   where  we spent  the  night  is called  Orchid Hotel.
                โรงแรม(ที่)เราพักมีชื่อว่าออร์คิดโฮเตล
ประธานของประโยคนี้คือ The Hotel ซึ่งเป็นสถานที่ ดังนั้น keyword ที่ใช้คือ “where”
                -The  women whose purse  is  stolen   is  going  to  the  police  station.
                ผู้หญิง(ที่)กระเป๋าถูกขโมยกำลังไปสถานีตำรวจ
ประโยคนี้ประธานเป็น The  women  เป็นเจ้าของ  purse”  ที่ถูกขโมย keyword จึงต้องเป็นคำว่า whose ซึ้งเป็น possessive  pronoun  เพื่อขยายให้ทราบว่าเป็นเจ้าของกระเป๋า

                ใช้ขยายคำของกริยา
                I  like  the  students  Who are  hard  working.
                ฉันชอบนักเรียนที่ขยัน
ในประโยคนี้ Adjective  Clause  ขยายนามวลี the student ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
                Who  ate  the  cake  that  I  put  in  the  refrigerator?
                ใครกินเค้กที่ฉันเอาไว้ในตู้เย็น
ประธานนี้เป็นประโยคคำถามที่ Adjective  Clause ขยายนามวลี the cake  เป็นกรรมของกริยา ate

                ใช้ขยายกรรมของบุพบท
                We  are  going  to  the  hotel  where our  son  works.
                เรากำลังไปยังโรงแรมที่ลูกชาย(เรา)ทำงาน
ในประโยคนี้นามวลี the  hotel  เป็นกรรมของบุพบท to และมี Adjective  Clause “where  our  son  works ”   มาขยาย  เพื่อระบุให้ชัดเจนขึ้นว่าเป็นโรงแรมไหน
                สรุป  Adjective  Phrase  คือกลุ่มคำที่มี  adjective  ตัวเดียวโดดๆหรืออาจมีส่วนขยายข้างหน้าและส่วนขยายข้างหลังและส่วนขยายข้างหลังหรือแสดงลักษณะของคำนามหรือสรรพนามของตัวนั้นๆให้ชัดเจนยิ่งขึ้น










เคล็ดลับฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ

เคล็ดลับฝึกทักษะการฟังภาอังกฤษ

                ภาษาบนโลกนี้เมื่อแปลงจากเบียนมาเป็นคำพูดจะมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงของผู้พูดแต่ละคนที่มีเป็นร้อยเป็นพันแบบ  การรวมคำให้กระชับ ประโยคแสลงและอีกสารพัดปัจจัยที่ทำให้การฟังยุ่งยาก แต่เรื่องแบบนี้สามารถฝึกได้ โดยวิธีฝึกฝนต่อไปนี้
                ฝึกฟังจากเรื่องง่ายไปเรื่องยาก ช่วงแรกของการฝึกถ้าไปฟังข่าวยาวๆ ที่มีศัพท์แปลกๆไม่คุ้นหูอยู่เพียบ แล้วเกิดฟังไม่เข้าใจขึ้นมา อาจทำให้เกิดอารมณ์สิ้นหวัง ดังนั้นจึงควรเริ่มจากฟังอะไรสั้นๆง่ายๆ ที่เขาพูดช้าๆ ให้เข้าใจเสียก่อน เน้นฟังสำเนียงที่ถูกต้อง ฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป
                ขั้นตอนในการฝึกฝน
1.ฟังรอบแรกงวดเดียวจบ โดยไม่ดูบทความที่มากับคลิปเสียง สูดใจลึกลึก หามุมที่นั่งสบายๆผ่อนคลาย ไม่ต้องกังวลว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง
2.ฟังซ้ำอีกครั้งเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม
3.ฟังและหยุดคลิปทุกๆ 5 วินาที ขณะที่หยุดนั้นให้เขียนคำหรือวลีอะไรก็ได้ที่คุณได้ยินออกมาให้ได้มากที่สุด เมื่อฟังจบทั้งคลิปแล้ว ลองอ่านโน้ตย่อๆเขาเราดูว่า เราพอจะจับคอนเซปได้หรือไม่ว่าในคลิปกำลังพูดถึงอะไร การฝึกเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกคำพูด แค่พอเข้าใจคร่าวๆก็ถือว่าเข้าใจแล้ว
4. ทำซ้ำแบบเดิมกับข้อ3. แต่พยายามเติมคำศัพท์ลงไปให้มากขึ้นและแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆจากการเขียนครั้งนี้
5.เขียนเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นประโยค ลองใช้ความรู้ด้านไวยากรณ์ปะติดปะต่อคำและวลีต่างๆเข้าด้วยกัน
6.เก็บโน้ตย่อชิ้นแรกออกไป เริ่มฟังคลิปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้หยุดคลิปทุกๆ 10 นาที แล้วเขียนสิ่งที่ได้ยินออกมาเหมือนเดิม จากนั้นก็ลองมาเปรียบเทียบกับโน้ตชิ้นเก่าดู
7.ฟังคลิปเสียงอีกครั้ง โดยอ่านโน้ตย่อของตัวเองตามไปด้วย
8.เปรียบเทียบโน้ตย่อกับเหตุการณ์จริงที่ถูกต้อง ถ้าพบว่ามีคำผิดเยอะต้องคิดวิเคราะห์ดูว่าปัญหาในการฟังของคุณเกิดจากอะไร บางคนอาจฟังไม่รู้เรื่องเพราะออกเสียงไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักคำศัพท์หรือมีปัญหากับเสียงหนักเสียงเบา การเชื่อมคำ การรวบประโยค ก็จะต้องแก้ปัญหาเป็นจุดๆไป
9.ฟังคลิปอีกครั้งไปพร้อมๆกันกับการอ่านบทความที่ถูกต้อง เพื่อเช็คว่าส่วนไหนบ้างที่พลาดไป จากนั้นลองกลับมาฟังรอบสุดท้ายแบบไม่อ่านโน้ตและบทความเลย เมื่อถึงขั้นตอนนี้ก็จะเข้าใจเรื่องราวในการเขียนมากยิ่งขึ้น
                การเลือกคลิปเสียง ถ้าเป็นเรื่องที่เราสนใจจะยิ่งกระตุ้นให้เราอย่างฝึกฝนมากยิ่งขึ้น ทักษะการฟังไม่สามารถพัฒนาได้ชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนทำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ฟังครั้งหนึ่งไม่ถึงนาทีแต่ฝึกทำบ่อยๆจะได้ผลดีกว่าฟังครั้งหนึ่งแต่เป็นชั่วโมงแต่ให้ฝึกแค่สัปดาห์ละครั้ง
                สรุปการฝึกทักษะการฟังจะต้องทำเป็นประจำต่อเนื่องและฝึกฝนบ่อยๆแต่ค่อยๆเป็นค่อยไปทีละนิดและตัวผู้ฝึกเองจะต้องรู้คำศัพท์อยู่มากมายเป็นพื้นฐานที่จะทำให้การต่อยอดของทักษะการฟังนั้นง่ายและพัฒนาได้เร็วขึ้น


Adjctive Clause

Adjective  Clause

1.A  customer  at  the  restaurant  called  the  police , who  then  asked  the  women  to  leave
                -ลูกค้าในภัตตาคารได้โทรหาตำรวจผู้ซึ่งบอกให้ผู้หญิงคนนั้นออกจากภัตตาคาร

2. The  woman  who  was  cancer  patient  ,  told  police  that  the  kangaroo  was  a  “ service  animal  ”  to  help  her  deal  with  the  emotional  distress  of  illness  ,  and  showed  police  a  doctor’s  note  as  proof
-ผู้หญิงผู้ซึ้งเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งบอกกับตำรวจว่าจิงโจ้นั้นเป็นสัตว์ที่ช่วยเหลือผู้พิการ ที่ช่วยหล่อนจัดการกับอารมณ์ความเจ็บปวดของโรคและหล่อนได้แสดงใบรับรองแพทย์ให้ตำรวจเป็นหลักฐาน

3. The  police  officer  said  the  woman , who live  on a  farm  with  several  other  exotic  animals , was  upsat  at  first , but  then  agree  to  leave  the  eatery.
                -นายสถานีตำรวจพูดกับผู้หญิง ผู้ซึ่งอยู่ในฟาร์มกับสัตว์ตัวอื่นๆที่มาจากต่างแดนที่ทำให้เธออารมณ์เสียในตอนแรกแต่ก็ยอมออกไปจากภัตตาคาร

4. Asian  countries  that  will  be  fortunate  enough  to  receive  the  product  include  India , Japan , and Singapore.
                -ประเทศในทวีเอเชียนั้นโชคดีที่จะได้รับผลิตภัณฑ์ รวมไปถึง อินเดีย , ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ด้วย

5. The  sprawling  attraction  will  be  modeled  after  a  theme  park  that  opened  at  Universal  Orlando  Resort  in  2010 , in  the  US  state  of  Florida.
                -สถานที่ท่องเที่ยวที่กว้างใหญ่ถูกจำลองหลังสวนสนุกนั้นเปิดที่ยูนิเวอร์เซล ออแลนโด้  รีสอร์ท  ในปี  2010  ในฟอริด้าของประเทศสหรัฐอเมริกา


Adjective  Phrase

1.             It  was  cold , bleak , biting  weather.
-                   มันเป็นสภาพอากาศที่รู้สึกหนาว , เปล่าเปลี่ยว และเจ็บปวดเพราะหนาวมาก
2.   He’s  an  extraordinary  boking  man , and  yet  I  can  really  name  nothing  out  of  the  way.
                       -      เขาเป็นผู้ชายที่ดูไม่ธรรมดา
             3.   “ Marge , you’re  as  pretty  as  Princess  Leia  and  as  smart  as  Yoda. ”
                       -      มาร์จคุณน่ารักราวกับเจ้าหญิงลีอาและทันสมัยราวกับโยด้า
             4.    And  each  separate  dying  ember  wrought  its  ghost  upon  the  floor .
                    -      และถ่านที่แยกอยู่แต่ละก้อนกำลังจะดับลงมันเป็นผีที่อยู่บนพื่นดิน
             5.   the  man  with  a  big  head ”
                    -      ผู้ชายหัวตัว